วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ธรรมกับชีวิต ตอน มรรคมีองค์ ๘






มรรคมีองค์๘ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง
      ทางสายกลาง พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ และนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และนิรวาณะ (พระนิพพาน) ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง หนทางอันประเสริฐ มีองค์ประกอบอยู่ 8 ประการ

1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ว่าทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็น ไตรลักษณ์ หรือ รู้ อกุศลและอกุศลมูล กับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท

2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ตั้งใจชอบ ความคิดชอบ ความคิดถูกต้อง หมายถึง 3 ข้อ คือ
• อวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริในอันไม่เบียดเบียนผู้อื่น
• อัพยาปาทสังกัปปะ ความคิดดำริในอันไม่ผูกพยาบาทป้องร้ายผู้อื่น
• เนกขัมมสังกัปปะ ความคิดดำริในอันจะปลดเปลื้องทางกาม

3. สัมมาวาจา เจรจา หรือวาจาชอบ พูดจาชอบ สำรวมระวังในการพูด
วจีสุจริต 4 คือ
• ไม่พูดคำเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย พูดแต่คำสัตย์คำจริง
• ไม่พูดส่อเสียด ให้คนอื่นเข้าใจผิดทะเลาะกัน แตกความสามัคคี
• ไม่พูดคำหยาบ
• ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดจาเหลวไหล ไร้สาระประโยชน์

4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ทำงานชอบ ประพฤติชอบทางกาย
กายสุจริต 3 อย่าง คือ
• เว้นจากความโหดเหี้ยม ฆ่า ทำร้ายผู้อื่น
• เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยการขโมย
• เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ยินดีแต่ในภรรยาของตน (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร)

5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย และศีลธรรมอันดีงาม เว้นการค้าขายที่ผิด (มิจฉาวณิชชา 5)
• ค้าขายเครื่องประหาร เช่น อาวุธต่าง ๆ
• ค้าขายมนุษย์
• ค้าขายเนื้อสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เพื่อฆ่าแล้วนำเนื้อไปขาย
• ค้าขายสุราน้ำเมา ยาเสพติด
• ค้าขายยาพิษ หรือสารพิษ

6. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ พยายามชอบ หมายถึงความเพียร 4 อย่าง คือ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4
• สังวรปธาน เพียรระวัง มิให้ความชั่วที่เป็นบาปอกุศล เช่นความโลภ โกรธ มหลง เกิดขึ้น
• ปหานปธาน เพียรพยายาม ละความชั่วร้ายที่เป็นบาปอกุศลซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วให้หมดสิ้นไป
• ภาวนาปธาน เพียรพยายาม ก่อสร้างความดีที่เป็นบุญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น เช่นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
• อนุรักขนาปธาน เพียร รักษาคุณความดีที่เป็นบุญกุศลที่ได้ทำแล้วที่มีอยู่แล้วไม่ให้ลดน้อยลง

7. สัมมาสติ ความระลึกชอบ หมายถึง การสำรวมใจ หรือทำใจให้สงบตามแนวสติปัฏฐาน (ที่ตั้งแห่งจิต) ทั้ง 4
เป็นการพิจารณาให้รู้เห็นเนื่องๆ เพื่อมิให้เกิดความยึดมั่นถือมันในร่างกาย ความรู้สึก จิตใจและธรรม ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล กล่าวคือ
สติปัฏฐาน 4
• พิจารณาเห็นกายในกาย (กายานุปัสสนา)ที่เรียกว่า กองรูป พิจารณา ลมหายใจ อิริยาบถ การเคลื่อนไหล ความเกิดดับของร่างกาย เห็นความจริงว่า ไม่มี ตัวตน เรา เขา
• พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา (เวทนานุปัสสนา) กำหนดรู้เรื่องของเวทนา เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์และเฉย ๆ ว่าเวทนาเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร
• เห็นจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา ) รู้ทันความเคลื่อนไหวของจิต จิตโกรธก็รู้ว่าจิตโกรธ จิตลุ่มหลง จิตหดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
• เห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา) คล้ายกับเห็นจิตในจิต อารมณ์ที่เป็นเป้าหมายของใจ การรู้สิ่งที่มีอยู๋ในจิต เช่น จิตมีนิวรณ์ (กามฉันทะ พยาบาทถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา)นิวรณ์เกิดขึ้นในจิต มีอยู่ในจิต ดับไปจากจิต ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ก็ให้เห็นความจริงว่าเป็นเพียงสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
      สติปัฏฐานนี้เอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "เป็นทางเอกหรือทางเดียว เพราะเป็นทางปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามให้พ้นซึ่งความโศกหรือ ปริเทวนาการ เพื่อบรรลุญาณและเพื่อทำพระนิพพานให้ให้ปรากฏแจ้ง"

8. สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ สมาธิชอบ การเจริญสมาธิตามแนวของฌาน 4
 


ธรรมกับชีวิต ตอน อิทธิบาท ๔


อิทธิบาท ๔

คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม
เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้อง
ทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ

๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน 
ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้
ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ

วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึงการการะทำที่ติดต่อไม่ขาดตอนเป็นระยะยาว
จนประสบความสำเร็จ คำนี้มีความหมายของความกล้าหาญเจืออยู่ด้วยส่วนหนึ่ง

จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้งสิ่งนั้น ไปจากความรู้สึกของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น
วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ
อยู่ด้วยอย่างเต็มที่

วิมังสา หมายถึงความสอดส่องในเหตุและผลแห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้รวมความหมายของคำว่าปัญญาไว้อย่างเต็มที่

บุคคลเมื่อประกอบด้วย คุณธรรม ๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่
ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ ซึ่งโดยตรงทางหมายถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ที่เรียก
ว่า นิพพาน ส่วนเรื่องอื่น นอกนั้นไป ถือว่าเป็น เรื่องพิเศษ และ ไม่มี ขอบขีดจำกัด
เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับ เรื่องนอกเหนือ วิสัยธรรมดา อยู่มาก เช่นเรื่องที่ว่า คนเรา
อาจมีอายุยืน ถึงกัลป์ ด้วยอำนาจแห่งอิทธิบาททั้ง ๔ นี้ ซึ่งข้อนี้มิได้มีความหมาย
ขัดกัน ในข้อที่ว่า อิทธิบาท ๔ นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้อายุยืนถึงปานนั้นได้หรือไม่ แต่
มีปัญหาอยู่ที่ว่า คนเราจะสามารถ เจริญอิทธบาทให้มากถึงเท่านั้นได้หรือไม่ ต่าง
หาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงถือว่า หลักเกี่ยวกับอิทธิบาท นี้ คงมีความหมาย ไปตาม
ตัวหนังสือ โดยไม่ต้องมีขอบขีดจำกัดว่าอะไรบ้าง สรุปความสั้นๆว่าวิสัยของใคร
ทำให้เขาเจริญอิทธิบาทได้มากเท่าใด เขาย่อมได้รับผลเต็มกำลังของอิทธิบาทนั้น
แม้ในสิ่งที่บางคน ถือว่าเป็นของเหลือวิสัย โดยเฉพาะเช่น การบรรลุนิพพาน

ในที่บางแห่ง ท่านเติมคำว่า อธิปเตยย เข้าข้างท้ายคำเหล่านี้ เป็น ฉันทาธิปไตย
วิริยาธิปไตย วิมังสาธิปไตย
ไปดังนี้ก็มี แปลว่า ความมีฉันทะเป็นใหญ่ เป็นต้น
ซึ่งที่แท้ ก็ได้แก่ อิทธิบาท อย่างเดียวกัน นั่นเอง แต่ใช้คำว่า ที่มีความหมาย ที่
เห็นได้ชัด ยิ่งขึ้นว่า ในการทำกิจใดๆ ก็ดี ย่อมมีฉันทะ เป็นต้น เหล่านี้เป็นใหญ่
หรือเป็นประธานในความสำเร็จ เป็นการชวนให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท
นี้ยิ่งขึ้น มีพระพุทธภาษิต ยืนยัน อยู่ในที่ หลายแห่ง ว่า การตรัสรู้ อนุตรสัมมา
สัมโพธิญาณ ของพระองค์เอง สำเร็จได้โดยมี อิทธิบาท๔ นี้ เป็นประธาน แห่ง
การกระทำ ในลำดับนั้นๆ ฉะนั้น จึงถือว่าเป็น อุปกรณ์อันขาดเสียไม่ได้ในความ
สำเร็จทุกชนิด ผู้ปฏิบัติ เพื่อความ ความดับทุกข์ จึงต้องสนใจเป็นพิเศษ แม้การ
ประกอบ ประโยชน์ ในทางโลก ก็ใช้หลักเกณฑ์ อันเดียวกันนี้ได้เป็นอย่างดี โดย
เท่าเทียมกัน แม้ที่สุด แต่ในกรณีที่เป็น การทำชั่ว ทำบาป ก็ยังอาจนำไปใช้ ให้
บรรลุผลได้ตามที่ตนประสงค์ ฉะนั้น ท่านจึงจัดเป็น หลักธรรม ที่สำคัญหมวด
หนึ่ง ในบรรดา โพธิปักขิยธรรม ทั้งหลาย

นี้นับว่า เป็นอุปกรณ์ในฐานะเป็น เครื่องช่วยให้เกิดการปฏิบัติ ดำเนินไปได้ โดย
ปราศจากอุปสรรค ตั้งแต่ต้น จนถึง จุดหมายปลายทาง
อ้างอิงจาก พุทธทาศ.คอม

ธรรมกับชีวิต ตอน หิริ-โอตตัปปะ (ความละอายต่อบาป)


     “ความละอายและความกลัวต่อบาป” ให้เข้าใจ เราเคยได้ยินได้ฟัง แต่ฟังเฉยๆ ไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมะ ฟังไปๆ ก็เบื่อ แท้ที่จริงธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละบทแต่ละบาทมีความหมายลึกซึ้ง เพราะเกิดจากหทัยวัตถุของพระองค์ เป็นเรื่องที่จะให้สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่งในธรรมนั้นๆ

     ฉะนั้นจงพากันตั้งใจฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดีจิตวอกแวกไปมันก็เลยจะไม่เข้าใจเสีย ถ้าตั้งใจเด็ดเดี่ยวฟังจริงๆ คงจะรู้ คงจะเข้าใจ เมื่อเกิดความรู้ ความเข้าใจแล้ว จงตั้งใจเอาไปปฏิบัติทดลองดู ถ้าหากว่าไม่ทดลองปฏิบัติดูก็จะไม่สำเร็จประโยชน์ ธรรมจึงเป็นข้อละเอียด

     คำว่า หิริ คือ ความละอายใจ อายมิใช่อายอย่างธรรมดา ที่หนุ่มสาวอายกัน มันอายซึ้งเข้าถึงใจจริงๆ ไม่ใช่อายผิวเผินภายนอก หนุ่มสาวมักอายรูปร่างภายนอก เราคิดจะทำสิ่งใดที่ชั่ว มันละอายขึ้นมาในใจ เพียงแต่คิดเท่านั้น คนอื่นยังไม่เห็นเลยมันเกิดความละอายขึ้นมาแล้ว คิดทำชั่วคืออย่างไร สิ่งใดที่เป็นไปเพื่อความเลวทรามไม่ถูกต้องทางธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอันนั้นเป็นความเลว

     อะไรที่มันวัดว่ามันถูกหรือไม่ถูก อันนี้ง่ายนิดเดียว คนที่ไม่เคยรู้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็อาจจะเข้าใจได้ คือถ้าเราทำอะไรลงไป ถ้าหากว่ามันไม่ถูกต้องแล้วมันรู้สึกละอายกระดากในใจตนเอง แต่ตามหลักท่านบอกว่านักปราชญ์ทั้งหลายไม่สรรเสริญ ไม่นิยม นั่นเรียกว่า ผิดจากธรรม

     เราไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่นักรู้ แต่เรารู้ภายในของเราเอง อย่างฆ่าสัตว์ มันคิดกระดากในใจ คือเราไม่ฆ่าสัตว์เพียงคิดจะฆ่าก็กระดากในใจ แต่ผู้ที่เขาฆ่าสัตว์มาจนชินแล้วก็ไม่กระดากเท่าไร เรียกว่า มันไม่มีธรรมในตัว เราคิดจะฆ่าเท่านั้นแหละ มันนึกกระเดียมกระดากในตัว เรียกว่า ของไม่ดีคือบาป คนทั้งหลายไม่นิยม นักปราชญ์ไม่นิยม

     บรรดาคนทั้งหลายย่อมกลัวความชั่ว คนอื่นก็กลัว ตัวของเราก็กระดาก สัตว์ทั้งหลายแม้เดียรฉานไม่รู้เดียงสา เห็นเราทำท่าทางกิริยาอาการลงมือฆ่าให้เห็นมันก็กลัวแล้ว อันนั้นแหละความชั่ว ถ้าหากเราทำดี อันนี้ตรงกันข้าม เป็นมิตรเป็นสหายพวกพ้อง อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดียรฉานก็ขุนเชื่องไม่คิดกระดากเป็นมิตรกับเรา เข้าไปในป่ารกมีเสือ หมี ผีร้าย ซึ่งเป็นของดุที่สุด คนกลัวที่สุด ถ้าหากมีเมตตา ไม่ปรารถนาจะทำชั่วช้าแล้ว เขาก็มาสนิทสนมกับเรา ไม่เห็นมีกลัวอะไร นั่นแหละความดี คือความละอายในใจของเรา ไม่กล้าทำชั่ว

     ความละอายนี่แหละเป็นต้นเหตุให้ทำความดี ความดีทั้งหมดเกิดจากความละอายนี้ทั้งนั้น ความไม่ดีเกิดจากความไม่ละอายนั่นเอง ศีล ๕ ข้อมีความละอายเป็นเบื้องต้น เป็นสมุฏฐาน หากว่ามีความละอายในใจแล้วไม่กล้าทำ ศีลข้อนั้นก็งดเว้นได้หมด ลักทรัพย์ก็เหมือนกัน ถ้าหากของตกอยู่ในป่า ไม่มีเจ้าของแต่เราไปหยิบเอา เกิดสงสัยว่าจะมีเจ้าของหรือไม่หนอ แล้วก็คิดกระดากในใจยังไม่กล้าที่จะเอา จนแน่ใจตนเองเสียก่อนว่าไม่มีเจ้าของ

     อย่างลูกไม้ ผลไม้ มันเกิดในป่าไม่มีเจ้าของหวงแหน แน่แก่ใจแล้วว่าไม่มีเจ้าของจึงถือเอาด้วยความสนิทใจ ถ้าหากของที่ตกเช่นเป็นของในบ้านมาตกในป่า เอ๊ะ นี่มันของคนเขาเอามานี่ มันก็ไม่เอา เอาก็ไม่สนิท นั่นแหละมันจะไปลักไป ขโมยได้อย่างไร การประพฤติผิดมิจฉาจาร มุสาวาท ดื่มสุราเมรัย เหมือนกันหมดทุกอย่าง ศีล ๘ ก็เหมือนกัน ถ้ามีหิริอยู่ในใจละอายใจแล้วไม่กล้าทำทั้งนั้น แม้ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็เหมือนกันหมด

     พูดถึงเรื่อง “ธรรม” ความรู้ตัว ความละอายในตัวนั้นแหละเป็นธรรม ความละอายในตัวเกิดรู้สึกขึ้นมามันเป็นธรรมแล้ว ธรรมเกิดพร้อมกันกับศีล เกิดในที่เดียวกันนั่นแหละ คือเกิดจากหัวใจของคนเรา ไม่ใช่เกิดจากที่อื่น ศีลก็เกิดที่หัวใจนั่นแหละ ที่ละอายแล้วไม่กล้าทำ ธรรมก็เกิดที่หัวใจ ความรู้สึกละอายเกิดขึ้นในที่นั่นเรียกว่า หิริ โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัว เมื่อรู้สึกมีความละอายในใจแล้วเกิดความกลัว กลัวความชั่ว กลัวเขาจะรู้ จะเห็น กลัวจะอับอายขายขี้หน้า กลัวผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือผู้บังคับบัญชาท่านจะรู้จะเห็นเอาโทษเอาทัณฑ์ มีความละอาย มีความกลัวละคราวนี้ก็ไม่กล้าทำเท่านั้นเอง

     เมื่อมีหิริโอตตัปปะอย่างนี้แล้ว กฎหมายบ้านเมืองทุกมาตราไม่มีใครกล้าทำผิดหรอก อย่าว่าแต่ธรรมเลย การอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวกหลายคนด้วยกัน ถ้ามีหิริโอตตัปปะแล้ว ไม่มีอิจฉาริษยาเบียดเบียนซึ่งกันและกันมันก็เป็นสุขเท่านั้น หากคิดผิดประทุษร้ายเกิดความละอายและกลัวขึ้นมา นั่นธรรมเตือนขึ้นมาแล้ว เลยไม่กล้าทำความชั่ว ครั้นทำลงไปก็เป็นเหตุให้เดือดร้อนวุ่นวาย ตนเองเดือดร้อนเพราะทำชั่ว คิดชั่ว แล้วก็เป็นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อนอีกด้วย

     เรียกว่า ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติสุจริตก็มี หิริโอตตัปปะ อยู่ในตัวนั่นแหละ เรียกว่า ประพฤติธรรมสุจริต ผู้ประพฤติธรรมดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ มันก็สวมหัวใจของเรามาแต่เบื้องต้นนั่นน่ะซี จะสุขที่ไหน สุขแต่เบื้องต้นที่เราประพฤติดี ประพฤติชอบ มันไม่เดือดร้อนวุ่นวาย คนอื่นก็สุข อยู่หมู่มากด้วยกันก็สุข หมู่น้อยก็เป็นสุขด้วยกันทั้งหมด ไม่มีเดือดร้อนวุ่นวาย จึงว่าธรรมอันนี้เป็นของดี

     ธรรมของพระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่เป็นของตื้นๆ ต่ำๆ มีความลึกซึ้งสุดเข้าถึงหัวใจของบุคคล ถ้าปฏิบัติเป็นธรรมแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันหมดทุกคน ฉะนั้นให้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าฟังไม่เข้าใจฟังแล้วก็หายไปเลยไม่สนใจถึงเรื่องธรรมนั้นๆ บางทีเข้าใจว่าธรรมอันนี้เป็นของตื้นต่ำ เลยไม่อยากฟังซ้ำ แท้ที่จริงเราน่ะเป็นคนตื้นฟังไม่ลึกซึ้งถึงธรรมนั้นต่างหาก จึงไม่ซาบซึ้งถึงอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

     ถ้าปฏิบัติธรรมซึ้งถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงแล้ว มันไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น มันซึ้งเข้าไปอีกจนเหลือที่จะพูดให้คนฟัง ท่านพูดให้คนอื่นฟังแต่เพียงตื้นๆ แล้ว แต่ความลึกซึ้งของธรรมจริงๆ ในหัวใจของผู้ที่เห็นธรรมปฏิบัติธรรมนั้น ไม่สามารถพูดออกมาได้เมื่อฟังแล้ว เข้าใจแล้ว จงตั้งใจฝึกปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เมื่อยังไม่เข้าใจก็ให้ตั้งใจสนใจในเรื่องนั้นๆ หากจะค่อยซาบซึ้งเข้าไปเองหรอก เรื่องเหล่านี้มันอยู่ที่ความสนใจและตั้งใจปฏิบัติตาม


อ้างอิงจาก บทเทศนาของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ธรรมกับชีวิต ตอน วิธีบรรเทาความโศก




      ความโศกเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต เมื่อกระทบกับอารมณ์อันไม่พึงปรารถนา มีความเสียใจเป็นตัวนำ อันเกิดขึ้นเพราะความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความเสื่อมญาติ เป็นต้น หรือเพราะต้องทุกข์ร้อนด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้มีอาการใจแห้งอยู่ภายใน คือ ขาดความชุ่มชื่นในดวงจิต เหมือนต้นไม้หรือใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง เพราะขาดน้ำหรือถูกแดดแรงเกินไป อาการแห่งจิตดังกล่าวนี้แหละเรียกว่าความโศก หรือบางทีก็เรียกรวมว่า “เศร้าโศก”

     ในชีวิตประจำวันนั้น มนุษย์ต้องต่อสู้กับเรื่องนานาประการ เรื่องการทำมาหากินเป็นเรื่องต้น และยังมีเรื่องยุ่งต่างๆ ซึ่งตามมาสารพัดอย่าง เช่น การต้องต่อสู้แข่งขันกันในพวกที่ทำมาหากินอย่างเดียวกัน หรืออาชีพเดียว กัน นอกจากนี้มนุษย์ส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในอำนาจของความอยาก ถูกบีบคั้นด้วยความปรารถนาจากภายในตนเองบ้าง เหตุการณ์ภายนอกบีบบังคับให้จำต้องปรารถนา เช่น ค่านิยมของสังคมบ้าง

     คนส่วนใหญ่มักพ่ายแพ้ต่อความทะยานอยากที่บีบคั้นเข้ามา ทั้งจากภายในตนเองและจากภายนอก จึงต้องกระหืดกระหอบแสวงหาทรัพย์สิน แสวงหาเกียรติ ความนิยมชมชอบของสังคม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลาภ ยศ และสรรเสริญ เมื่อไม่ได้ดังใจปรารถนา หรือถูกขัดขวาง ก็มีการกระทบกระทั่ง แล้วกระเทือนใจ เสียใจ แล้วมีอาการแห่งผู้โศก อาจถึงต้องคร่ำครวญออกมา คือ การร้องไห้เพื่อระบายความทุกข์โศกที่อัดแน่นอยู่ในใจหรือความรู้สึก ถ้าได้ดังใจปรารถนาก็เพลิดเพลินหลงใหลติดอยู่ ข้องอยู่ในอารมณ์ เป็นเชื้อให้ไฟ คือ ความปรารถนาทวีรุนแรงขึ้นอีก ไม่รู้จักพอ เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ลงท้ายด้วยความทุกข์ความโศกอีก

     จิตใจของคนส่วนใหญ่จึงเสมือนท่อนไม้ที่ลอยอยู่ในกระแสคลื่น ถูกคลื่นซัดสาดให้ลอยขึ้น จมลงอยู่ในกระแสคลื่นนั่นเอง คลื่น คือ โลกธรรม-ลาภ เสื่อมลาภ, ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์ คอยซัดสาดท่อนไม้ คือ ดวงใจที่ไม่มั่นคงนั้นให้ฟูขึ้น ฟุบลง ไม่มีเวลาสงบนิ่ง ประเดี๋ยวก็ดีใจ ประเดี๋ยวก็เสียใจ

     ส่วนผู้ที่มีจิตมั่นคงดีแล้ว แม้จะกระทบกับกระแสคลื่น คือ โลกธรรม ก็หาขึ้นลงตามโลกธรรมนั้นไม่ ผู้มี จิตมั่นคงดีแล้ว ย่อมมองดูโลกธรรมเป็นเพียงเรื่องผ่าน เข้ามาแล้วผ่านเลยไป ไม่นำตนไปผูกพันกับโลกธรรม และไม่นำโลกธรรมมาผูกพันกับตน ต่างก็เป็นอิสระแก่ กัน เมื่อโลกธรรมเกิดขึ้นก็กำหนดรู้ตามความเป็นจริงว่า มันเกิดขึ้นแล้วไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมดังที่พระศาสดาตรัสไว้ (ในโลกธรรมสูตร) ว่า 

     “ภิกษุทั้งหลาย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ (ธรรมของพระอริยะ) เขามิได้สำเหนียก ด้วยดีว่า “บัดนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้นแล้วแก่เรา” เขาไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า “โลกธรรมนี้ไม่เที่ยง มี สภาวะบีบคั้น และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา” 
     “เมื่อโลกธรรม ส่วนที่ไม่น่าปรารถนาเกิดขึ้นก็เหมือน กัน เขาไม่สำเหนียกและไม่รู้ตามความเป็นจริง โลกธรรม จึงครอบงำจิตได้ เขาย่อมยินดีเมื่อได้ ยินร้ายเมื่อเสีย เมื่อดีใจบ้างเสียใจบ้างอยู่เช่นนี้ เขาย่อมไม่พ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพัน ความคับแค้นใจ กล่าวโดยย่อคือ ไม่อาจพ้นจากทุกข์ได้” 
     “ส่วนสาวกของพระอริยะผู้ได้สดับ (ธรรมของพระอริยะ) เมื่อโลกธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้น เขาย่อม สำเหนียกได้ว่า บัดนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เขารู้ตามความเป็นจริงว่า โลกธรรมนี้ไม่เที่ยง มีสภาวะบีบคั้น มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เมื่อรู้ตามความเป็นจริงอยู่ดังนี้ โลกธรรมก็ไม่อาจครอบงำจิตได้ เขาไม่ยินดีเมื่อได้ ไม่ยินร้ายเมื่อเสีย เมื่อเป็นดังนี้ก็ไม่ต้องดีใจบ้างเสียใจบ้าง จึงสามารถพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก เสียใจ พิไรรำพัน ความคับแค้นใจ กล่าวโดยย่อคือสามารถทำตนให้พ้นจากความทุกข์ได้ นี่แลภิกษุทั้งหลายคือความแตกต่างกัน ความพิเศษกว่ากันระหว่างสาวกของพระอริยะผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ” 
     จะเห็นได้ว่าความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพันนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความยึดมั่นในโลกธรรม เพราะความเขลาต่อความจริง ไม่รู้ตามความจริง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมิได้สดับธรรมของพระอริยะ ไม่ใส่ใจเนืองๆ ซึ่งธรรมของพระอริยะมีคุณภาพในการกำจัดโศก และกำจัดความหลงใหลมัวเมา 
     อีกประการหนึ่ง บุคคลทั่วไปเมื่อพิจารณาสิ่งใดก็มักพิจารณาในด้านคุณหรือด้านโทษแต่ประการเดียว คือ ดิ่งไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่พิจารณาให้เห็นทั้งด้านคุณและด้านโทษของสิ่งนั้นๆ จึงทำให้เขามีทางปฏิบัติเอียงสุดไปด้านใดด้านหนึ่งโดยไม่รู้ตัว กล่าวคือ วิ่งเข้าหา หรือผลักไส ชอบ ไม่ชอบ ยินดี ไม่ยินดี เป็นอาทิ ผลก็คือจิตของเขาไม่มีเวลาสงบนิ่งได้เลย คอยกังวลอยู่กับเรื่องพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง 
     ตัวอย่างคนที่แสวงหาลาภ ทรัพย์สินเงินทอง ก็เพ่งมองแต่ด้านคุณของทรัพย์สินเงินทองแต่ประการเดียว ไม่เคยนึกเฉลียวถึงด้านโทษของมันซึ่งมีอยู่เป็นอันมากเหมือนกัน เช่น บางคนต้องเสียชีวิตลงเพราะป้องกันทรัพย์ของตน บางคนต้องแตกจากมิตร บางคนต้องเสีย คนเสียความเป็นคนดี เพราะทะนงในทรัพย์สิน บางคนต้องคอยระวังรักษาไม่เป็นอันหลับนอน ฯลฯ เหล่านี้ล้วน เป็นโทษที่แฝงมากับการมีทรัพย์ทั้งสิ้น 
     ความเสื่อมลาภหรือเสื่อมทรัพย์นั้น คนทั้งหลายเป็น อันมากก็พากันเพ่งมองว่าไม่ดี แต่ความจริงมีดีอยู่เป็นอันมาก ทำให้ทรัพย์ภายในคือคุณธรรม เช่น ความขยันหมั่นเพียรเพิ่มขึ้น ไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกอย่างคนมีทรัพย์ บางคน มีความเจียมตัวเจียมใจ สุภาพอ่อนโยน เป็นเหตุ ให้เป็นที่รักของคนทั้งหลายผู้เข้าใกล้คบหาสมาคม มีศรัทธาในศาสนาเป็นแหล่งเพาะอุปนิสัยที่ดีให้แก่ตน ยิ่งกว่านั้นบางคนได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมและชาติบ้านเมือง ก็เพราะเหตุที่ตนเป็นคนขัดสนทรัพย์ จำเป็นต้องทำงานหาทรัพย์มาเลี้ยงตนด้วยเรี่ยวแรงกำลัง ผลงานของเขาเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป ยั่งยืนนานดีกว่า คนมั่งมีนั่งกินนอนกินแล้วตายไปโดยทิ้งศพของตนไว้ให้เป็นที่ลำบากแก่คนที่อยู่ข้างหลัง 
     ที่พูดถึงแง่เสียของการมีลาภและแง่ดีของความเสื่อม ลาภในที่นี้ก็เพื่อให้ผู้สนใจได้มองเห็นทั้งด้านคุณและด้านโทษของสิ่งๆ เดียว เพื่อจะได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันด้วยสติปัญญาอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่า 
     “อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปฺณโญ ปริภุญฺชติ ถือเอาความว่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ด้วยการพิจารณาเห็นโทษ และมีปัญญาในการสลัดออก” คือ ไม่นำตนเข้า ไปผูกพันชนิดที่ถอนไม่ขึ้น แต่เข้าไปบริโภคใช้สอยอย่าง มีสติปัญญาโดยประการที่จะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น ไม่ให้สิ่งนั้นย่ำยีเอาแล้วต้องคร่ำครวญว่า “ทุกข์หนอๆ” แต่ก็ยังกอดรัดสิ่งนั้นเอาไว้ ยึดสิ่งนั้นเอาไว้เหมือนที่ร้อง ว่า “ไฟร้อนหนอ” แล้วก็วิ่งเข้าหากองไฟครั้งแล้วครั้งเล่า ลองคิดดูเถิดว่าน่าสงสารสักเพียงใด 
     คนส่วนมากแสวงหา ลาภ ยศ และสรรเสริญด้วยคิด ว่า ถ้าได้มาก็จะทำให้ตนมีความสุขขึ้นเป็นผู้สมบูรณ์ขึ้น จะเป็นจริงดังนี้ได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นทำตนอยู่เหนือ ลาภ ยศ และสรรเสริญ แต่ถ้าได้มาแล้วกลับตกเป็นทาสของมัน เขาก็จะมีแต่ความเศร้าโศกเป็นเบื้องหน้า ต้องหยั่งลงสู่ทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้าอย่างแน่นอน เพราะสิ่งนี้พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาอันยอดเยี่ยมได้ตรัสบอกไว้แล้วว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อนิจฺโจ ทุกฺโข วิปริณามธมฺโม” ใครไปฝืนกระแสอันนี้เข้าก็เท่ากับฝืนกระแสแห่งสัจจะ ย่อมต้องเดือดร้อนเองเศร้าหมองเอง ทุกข์ทรมานเอง 
     บางคนเก็บเอาเรื่องที่ล่วงแล้วนานปีมาเศร้าโศกทรมานใจ ความจริงอดีตก็ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีต มันไม่กลับฟื้นคืนชีพมาอีกแล้ว อย่าว่าแต่นานปีเลย แม้เพียงแต่ชั่วโมงเดียวที่ล่วงแล้วก็ถอยหลังไม่ได้ อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย เมื่อมันล่วงไปแล้วก็ปล่อยให้มันล่วงไปเถิด อย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกเลย 
     บางคนเหนี่ยวรั้งเอาเรื่องอนาคตมากังวลเศร้าหมอง กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรในปัจจุบันให้จริงจัง เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้แต่ท้อแท้ อ่อนแอ เพราะความหวาดกลัวเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจ  
     จงให้กำลังใจแก่ตนเองเสมอๆ ว่า “จงทำปัจจุบันให้ดีเถิด อนาคตจะดีเอง” หรือ “อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถิด ฉันทำปัจจุบันดีที่สุดแล้ว” เมื่อเป็นดังนี้อารมณ์หรือ   จิตใจก็อยู่เฉพาะปัจจุบัน ความเศร้าโศกไม่มี ความวิตกหมกมุ่นก็ไม่มี เพราะ ความกังวลไม่มี นี่แหละคือที่พึ่งอันเกษมของดวงจิต หาใช่อื่นไม่ (อกิญฺจนํ อนาทานํ เอตํ ทีปํอนาปรํ) เมื่อจิตได้ที่พึ่งอันเกษมอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก จิตไม่โศกนั้นเป็นมงคลอันสูงสุดข้อหนึ่ง 







อ้างอิงจาก ลานธรรมจักร